ยาบำรุง
Summary
อาหารคือ ยาบำรุง ที่หลายคนมักมองข้าม ยาบ […]
อาหารคือ ยาบำรุง ที่หลายคนมักมองข้าม
ยาบำรุง ปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตอย่างหนึ่งก็คือ “อาหาร” ซึ่งอาหารจะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและมีสุขภาพอนามัยที่ดี มีพลังงานในการเคลื่อนไหว และอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานได้เป็นปกติ และอาหารยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ ช่วยเสริมภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ดังนั้น การทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยส่งเสริมให้มีสุขภาพดี ทั้งยังลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
Traditional Chinese Medicine เชื่อว่า “food” ไม่เพียงแต่จะช่วยส่งเสริมบำรุงร่างกายแล้ว food ยังช่วยบรรเทารักษาโรคได้อีกด้วย โดยหลักในการรักษาโรค “ควรให้การรักษาทั้งหมด 3 parts และอีก 7 parts จะเน้นที่การบำรุงสุขภาพร่างกายเป็นสำคัญ” ดังนั้น การใช้อาหารเป็นยาเพื่อบำรุงสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ไว้เพื่อจะได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และปรับให้เหมาะกับตนเอง
หลักในการเลือกทานให้เหมาะสม 4 ด้าน
Eat in balance คือ Don’t choose to eat อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ควรเลือก Eat ให้หลากหลายและเข้ากัน ใน science ของการแพทย์แผนจีนจะแบ่งรสชาติของอาหารออกเป็น 5 category คือ Sour, bitter, sweet, spicy, salty
- หากทานรสเค็มมากเกินไป จะทำให้เลือดไหลเวียนติดขัด
- หากทานรสขมมากเกินไป จะทำให้ผิวแห้ง สีผิวหมองคล้ำลง ขนหลุดร่วง
- หากทานรสเผ็ดมากเกินไป จะทำให้เส้นเอ็นตึง เล็บแห้ง เปราะ
- หากทานรสเปรี้ยวมากเกินไป จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น
- หากทานรสหวานมากเกินไป จะทำให้ปวดตามกระดูกและผมร่วง
นอกจากนี้ในคัมภีร์โบราณยังกล่าวว่า “ข้าวและธัญพืชใช้บำรุงเป็นหลัก ผักผลไม้และเนื้อสัตว์ใช้เป็นตัวเสริม” ดังนั้นควรเลือกทานอาหารให้หลากหลาย และไม่ทานรสจัดจ้านมากเกินไป จึงจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ครบถ้วนทำให้มีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง
Must control คือ ไม่ควรทานจน Full เกินไปและไม่ควรปล่อยให้ hungry มากจนเกินไป เนื่องจากการปล่อยให้หิวมากเกินไปจะทำให้ร่างกายขาดการ nourish และบำรุง ซึ่งหากยิ่งขาด Maintenance มาก ๆ จะทำให้การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ถดถอย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายได้ ในทางกลับกันถ้ากินมากจนเกินไปก็จะทำให้
Stomach และลำไส้รับภาระหนักเกินไป ทำให้มี Residual food หมักหมม Digestive system ไม่ดี ก็จะกระทบต่อการดูดซึมและการลำเลียงสารอาหารไปเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึงการสร้างเลือดและชี่ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้อีกเช่นกัน
ดังนั้นเราจึงควร Eat อย่างพอเหมาะเพื่อให้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างมี Performance สูงสุด และนอกจากนี้ เราควร Eat อาหารให้เหมาะกับในแต่ละช่วง clock ชีวิตด้วย ตามคำกล่าวที่ว่า “มื้อเช้าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด Lunch ทานให้อิ่มแต่พอดี มื้อเย็นทานให้น้อย”
ถูกสุขลักษณะ คือ ในการป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ เราควรจะเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ สะอาด ปรุงสุก สดใหม่ ไม่ควรทานอาหารที่ปรุงค้างคืนหลายวัน หรือขึ้นรา เพราะอาจทำให้เกิดพิษสะสมในร่างกาย ทำให้การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ แปรปรวน เลือดและชี่ไหลเวียนสับสน ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้
ทานให้เหมาะแต่ละช่วงเวลา-ฤดูกาล แต่ละบุคคล เนื่องจากในแต่ละช่วงของฤดูกาล การเลือกทานอาหารให้เหมาะสมจะช่วยส่งเสริมสุขภาพได้ด้วย เช่น ฤดูใบไม้ผลิควรบำรุงตับ ฤดูร้อนควรบำรุงหัวใจ
Late summer หรือ Rainy season ควรบำรุงม้าม ฤดูใบไม้ร่วงควรบำรุงปอด ฤดูหนาวควรบำรุงไต แต่ตลอดทุกฤดูกาลก็ควรให้ความสำคัญกับกระเพาะอาหารและม้าม นอกจากนี้ เนื่องจากสภาพร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และอาจมีอาการเจ็บป่วยที่ต่างกัน ดังนั้น เราจึงต้องเลือกทานอาหารที่มีความหลากหลายและแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
สัญญาณว่าร่างกายขาดธาตุเหล็ก
ธาตุเหล็ก สำคัญกับสุขภาพผู้หญิงมากกว่าที่คิด และหากไม่อยากป่วยเป็นโรคโลหิตจาง หรือมีอาการผิดปกติต่าง ๆ อันเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก สาว ๆ ก็ไม่ควรพลาดสิ่งนี้
ถ้าบอกว่าภาวะขาดธาตุเหล็กเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้มากพอ ๆ กับโรคฮิตประเภทอื่น หลายคนก็อาจคาดไม่ถึง และโดยส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิง รวมทั้งกลุ่มคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ด้วยนะ ซึ่งหากไม่อยากจะป่วยเป็นโรคโลหิตจาง หรือมีความผิดปกติทางสุขภาพอื่น ๆ ก็ควรดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี โดยเฉพาะควรหมั่นเติมธาตุเหล็กในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการร่างกายด้วย
ธาตุเหล็ก สำคัญกับผู้หญิงยังไง
เหตุผลที่ธาตุเหล็กมีความสำคัญกับเพศหญิง ก็เพราะผู้หญิงมีโอกาสสูญเสียธาตุเหล็กในร่างกายมากกว่าผู้ชาย ทั้งการมีประจำเดือน ซึ่งเฉลี่ยแล้วต่อเดือนผู้หญิงจะเสียเลือดส่วนนี้ไปประมาณ 50 มิลลิลิตร
หรือเท่ากับสูญเสีย iron ไปประมาณ 15-30 milligram ต่อเดือน และอาจจะมีแนวโน้มสูญเสีย iron มากขึ้นหากสาว ๆ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ หรือในหญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร ร่างกายก็ต้องการ iron เพิ่มขึ้นเพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงด้วย
ธาตุเหล็กมากขนาดไหน ที่ร่างกายต้องการ
สำหรับ Women of age 15-50 ปี ควรได้รับธาตุเหล็กประมาณ 15 milligram ต่อวัน แต่หากมีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรรับ iron ให้ได้วันละ 10 milligram ก็เพียงพอ
ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ ควรไปตรวจวัดปริมาณธาตุเหล็กในร่างกายให้ชัวร์? ๆ เพราะหากไม่ใช่ผู้ที่ขาดธาตุเหล็กอยู่แล้ว การรับประทานธาตุเหล็กเข้าไปเพิ่ม อาจทำให้ร่างกายกำจัดธาตุเหล็กออกไปไม่หมด และส่งผลเสียต่อการทำงานของตับได้
ทว่าจริง ๆ แล้วเราก็สามารถเช็กตัวเองได้ในเบื้องต้น จาก 15 สัญญาณของร่างกายต่อไปนี้ที่ฟ้องว่า เรากำลังขาดธาตุเหล็กอยู่นะ
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย โดยเฉพาะความรู้สึกเหมือนหมดแรง เหนื่อยใจ เนื่องจากเลือดไม่มีธาตุเหล็กเพียงพอจะสูบฉีดให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้ นั่นเอง
ลิ้นอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อ
ลิ้นบวม ตุ่มบริเวณลิ้นหายไป ลิ้นเกลี้ยงเกลามากขึ้น แต่อาจทำให้เคี้ยวอาหารลำบาก แปรงฟันลำบาก หรือหากลิ้นบวมหนักมากอาจพูดไม่ชัดได้
ประสิทธิภาพของสมองลดลง มีอาการเหม่อลอยบ่อยขึ้น เนื่องจากออกซิเจนในเลือดน้อยเพราภาวะขาดธาตุเหล็ก
ตัวซีด เปลือกตาด้านในซีด บ่งบอกสภาวะโลหิตจาง
ริมฝีปากแห้งแตก โดยเฉพาะบริเวณมุมปาก และอาจมีอาการเจ็บร่วมด้วย จนบางทีไม่สามารถอ้าปากกว้าง ๆ ได้ มีความลำบากในเวลากินอาหาร ตอนยิ้ม หรือแม้กระทั่งตอนเปล่งเสียง
ร่างกายไวต่อเชื้อโรค มีโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย
มีอาการขาอยู่ไม่สุข (Restless Leg Syndrome) ต้องสั่นขา เขย่าขาตลอดเวลา เพราะรู้สึกเหมือนมีแมลงมาไต่ขา หรือไม่สั่นขาจะนั่งไม่สบาย
หน้ามืด วิงเวียน โดยเฉพาะเมื่อเดินขึ้นบันได ขึ้นลิฟต์ หรือทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวหนัก ๆ
หายใจติดขัด เจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะขณะทำกิจกรรมบางอย่างที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายมาก ๆ
ปวดศีรษะ หนัก ๆ หัว เหมือนสมองไม่โปร่งใส รู้สึกขาดสมาธิในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
เบื่ออาหาร รู้สึกอยากกินอาหารรสชาติแปลก ๆ เช่น อยากกินดิน อยากกินน้ำแข็ง เป็นต้น
มีดอกเล็บขึ้น เล็บเป็นรูปช้อน หรือหนังเล็บลอก
มือเย็น เท้าเย็น
ใจสั่นได้ง่าย แม้จะแค่เดินในระยะใกล้ ๆ หรือวิ่งระยะสั้น ๆ
หากพบว่าตัวเองมีอาการตรงกับอาการดังกล่าวหลายข้อ ลองไปพบแพทย์เพื่อวัดระดับธาตุเหล็กในร่างกาย หรืออาจเช็กง่าย ๆ จากการไปบริจาคเลือดก็ได้
ทั้งนี้หากแน่ใจจริง ๆ ว่าร่างกายกำลังเรียกร้องหาธาตุเหล็กมาเติมเต็ม คุณสามารถรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กได้ตามนี้
อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
- เนื้อสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเนื้อแดง
- เลือด
- ตับ
- เครื่องในสัตว์
- ธัญพืช เช่น ซีเรียล ข้าวโอ๊ต จมูกข้าวสาลี
- แป้ง
- ไข่แดง
- อาหารทะเล
- ปลา
- เป็ด
- ไก่
- ผักใบเขียวเข้ม เช่น Kale, gourd, spinach, morning glory, broccoli, asparagus เป็นต้น
- ถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ
อย่างไรก็ดี อาหารบาง category ยังอาจขัดขวางการดูดซึม iron ของร่างกายได้ ซึ่งอาหารที่ว่าก็อย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ Soy milk, white rice, tea, coffee ซึ่งถ้าต้องการธาตุเหล็กก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้ไว้ด้วย
ส่วน food ที่จะช่วยเสริมการดูดซึม Iron ก็ได้แก่ อาหารอุดมวิตามินซี เช่น Orange, guava, papaya, strawberry, grapefruit, kiwi เป็นต้น ซึ่งก็ควรรับประทานอาหารเหล่านี้ระหว่างรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กเข้าไปใช้ได้อย่างสะดวกขึ้น